วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

รายละเอียดคอลเลคชั่น 14 โชว์ 21 ดีไซเนอร์ “ELLE Fashion WeekFall/Winter 2017” @ CentralWorld


วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2560 

รอบ 15.00 น.

• FRESH FACES

PITCHANA  (พีชนา)  

พีชนา เอกชัย  

ดีไซเนอร์สาวเลือดใหม่ พีชนา เอกชัย  เลือกที่จะนำคาแร็กเตอร์ของ เจอร์รี่ ฮอลล์ ซูเปอร์โมเดลแห่งยุค 70 หญิงสาวที่ครองใจนักร้องนำแห่งวง Rolling Stones มาเป็นแรงบันดาลใจในคอลเลคชั่น"GLAM ROCK" โดยหยิบเอาเทรนด์และบริบทของสังคมในยุคนั้นมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน  คอลเลคชั่นนี้จึงมีสีสันมากขึ้นกว่าทุกครั้ง อย่างเช่นสีเหลืองมัสตาร์ด เขียวขี้ม้า เบอร์กันดี้ และสีเมทาลิค

ดีไซน์ยังคงเน้นทรวดทรงสรีระของสตรี โดยทุกชุดจะมีกลิ่นอายของความ หวาน เปรี้ยว เท่รวมอยู่ด้วยกัน เริ่มด้วยชุดค็อกเทลสายเดี่ยวคอเว้าสีเหลืองมัสตาร์ดที่มีดีเทลคัทเอ้าท์ทั้งสองข้างของกระโปรงและมีเชือกร้อยเพื่อเพิ่มดีเทลให้กับชุด สวมทับด้วยครอปแจ็กเก็ตขนนกกระจอกเทศสีเหลืองครีม  ต่อด้วยคีย์ลุคของคอลเลคชั่นนี้คือชุดเกาะอกสีขาวที่มีคัทเอ้าท์ด้านขวาด้านเดียวตั้งแต่ใต้อกลงไปหากแต่เชื่อมด้วยเส้นคริสตัลจรดกลางน่อง สำหรับหญิงสาวที่กล้าจะเสี่ยงและสนุกกับแฟชั่นต้องเลือกชุดจั๊มพ์สูทแดงสดผ่าลึกจบด้วยขากระดิ่งขนาดยักษ์ที่ทำให้ทุกย่างก้าวเป็นที่จับตามอง จบด้วยราตรีพลีทเมทาลิคสีเงินสะท้อนถึงยุคดิสโก้ที่
ทิ้งท้ายเอกลักษณ์ของแบรนด์ด้วยคัทเอ้าช่วงอกและผ่าหน้าขาสองข้างที่ทำให้ทุกคนต้องเหลียวหลังมอง 
คอลเลคชั่นนี้มีกลิ่นอายของยุคเซเวนตี้ส์ มีลุคที่สง่างามจนไปถึงลุคที่มีความร็อคแอนด์โรว์ ผสมผสานด้วย
คาแรกเตอร์ของดีไซเนอร์ ที่ไม่ยอมหยุดนิ่งค้นหาออกแบบดีไซน์แปลกใหม่ที่ทำให้ทุกคนช็อกและขนลุกกับไอเดียนอกกรอบแต่สามารถใส่ได้ในชีวิตจริง 

 

KANAPOT AUNSORN (คณาพจน์ อุ่นศร)

คณาพจน์ อุ่นศร

คอลเลคชั่น Fall/Winter 2017 ที่นำมาโชว์ครั้งนี้มีชื่อว่า “The Future Is Now” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนต์เรื่อง “Hidden Figures” ที่เล่าถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เมื่อกลุ่มนักคณิตศาสตร์หญิงผิวดำชั้นนำของ NASA ช่วยให้อเมริกาเอาชนะคู่แข่งอย่างสหภาพโซเวียตขึ้นเป็นเจ้าแห่งการสำรวจอวกาศ พร้อมกับขับเคลื่อนการต่อสู้เพื่อสิทธิและโอกาสที่เท่าเทียมกันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

โดย KANAPOT AUNSORN ได้ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางและการเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยการนำความ Retrofuturism ของยุค 60s มาผสมผสานกับเรื่องราวในปัจจุบัน ผ่านลายพิมพ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ตลอดจนหยิบยืมเอาชุดนักบินอวกาศ (Astronaut) มาเป็นต้นแบบในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นพิเศษอย่างโค้ทบุนวมพิมพ์ลาย (Printed oversized puffer coat) รวมไปถึงการนำลายพิมพ์ดอกไม้ซึ่งสื่อถึงตัวเอกของเรื่องและสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของแบรนด์มาผสมผสานเข้ากับลายพิมพ์อวกาศถ่ายทอดลงบนเสื้อฮาวายซึ่งเป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่สามารถเล่าเรื่องราวจากคอลเล็คชั่นนี้ได้อย่างลงตัว 

 

SARRAN (ศรัณญ) 

ศรัณญ อยู่คงดี

หลังร่วมงาน ELLE Fashion Week เมื่อสองปีก่อน SARRAN กลับมาอีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น พร้อมกับนำเสนอผลงานจิวเวลรี่ที่มีความเป็นศิลปะสูงจนเรียกได้ว่า Art to Wear ภายใต้คอนเซ็ปท์Every Woman Deserve Elegance เพราะมองว่าผู้หญิงทุกคนควรค่าแกความงามสง่า โดยจิวเวลรี่ของ SARRAN สะท้อนภาพผู้หญิงในคุณลักษณะของไทยแบบโบราณ ซึ่งมีความงามสง่าในแบบที่ผู้คนในยุคนี้อาจจะไม่คุ้นชินแต่เป็นความงามที่นานาชาติกำลังถวิลหา

คอลเลคชั่นที่นำมาโชว์ในปีนี้พูดถึงเรื่องธรรมชาติโดยเปรียบเทียบผู้หญิงกับองค์ประกอบหนึ่งของธรรมชาติในเมืองไทย และมีความโดดเด่นที่การนำเชิงช่างด้านอื่นๆ ของไทยเข้ามาเป็นส่วนประกอบ เช่นงานจักสานย่านลิเภาการใช้งานไม้และงานฝังมุกเฟอร์นิเจอร์แบบไทย แต่ยังคงเอกลักษณ์หลักของแบรนด์นั่นคือ เครื่องประดับแต่ละชิ้นจะมีเรื่องราวและกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน

 

รอบ 17.00 น.

LANDMEÉ (แลนด์มี่) 

เนตรดาว วัฒนะสิมากร

ครั้งแรกของ LANDMEE’ แบรนด์เสื้อผ้าขวัญใจผู้หญิงยุคใหม่ที่ได้ร่วมโชว์ใน ELLE Fashion Week โดยคอลเลคชั่นที่นำเสนอในครั้งนี้ชื่อว่า LANDMEE’ CLUB ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากคลับในยุค 70sสร้างสรรค์เป็นเสื้อผ้าสไตล์เท่ปนหวานพร้อมกลิ่นอายวินเทจอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ 

คอลเลคชั่นนี้จะทำให้นึกถึงบรรยากาศของคลับบาร์ช่วงปลายปี 70s จนถึงยุค 1980 โดยมีStyle Icons อย่าง Grace Jones, Bianca Jagger, Liza Minnelli, Iman, Debbie Harry,  Jerry Hall เป็นแรงบันดาลใจLANDMEE' CLUB จึงเหมือนคลับที่รวบรวมเอาความโก้หรูในอดีตมาผสมกับความทันสมัยของปัจจุบันและความเซ็กซี่แบบมีรสนิยมของผู้หญิงยุคใหม่โดยนำเสนอผ่านเนื้อผ้าซาตินที่พลิ้วไหว และสีหลักอย่างเขียวชมพูสดม่วงและเหลืองมาสตาร์ด

 

รอบ 19.00 น.

VICKTEERUT Presented by Federbräu (วิคธีร์รัฐ พรีเซ็นเท็ด บาย เฟเดอร์บรอย

อรประพันธ์ สุทธินรเศรษฐ์

ผลงานคอลเลคชั่น Autumn/Winter 2017 จาก VICKTEERUT มีชื่อว่า Multiple Perspective โดยได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานของ Pablo Picasso ในยุคปลาย70 ที่เน้นวาดพอร์ตเทรตหญิงคนรัก ซึ่งไม่ได้วาดเป็นรูปเหมือนจริง แต่เป็นแนว Cubism ที่จะต้องผ่านการวิเคราห์และกลั่นกรอง สังเคราะห์สิ่งที่สำคัญที่สุด พร้อมเน้นลวดทรง และเส้นสาย ดีไซเนอร์จึงดึงเอาอารมณ์นั้นมาใช้กับเสื้อผ้าให้ดูสนุกขึ้น เช่นการใช้สีหรือการตัดต่อผ้าลงไปให้ดูลวงตา และโครงเสื้อที่ดูเหมือนเยอะแต่ใส่แล้วเป็นผู้หญิงที่สวย มีสไตล์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงเน้นความเนี้ยบตามแบบฉบับของแบรนด์

โดยปกติงานของ VICKTEERUT จะใช้กราฟฟิกเส้นตรงทั้งหมด แต่คอลเลคชั่นนี้ เป็นครั้งแรกที่แบรนด์นำเส้นโค้งมาประยุกต์ใช้ ดังนั้นแพตเทิร์นที่ออกมาจึงมีความโค้งและเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งที่ชัดขึ้น ผลงานจึงออกมาดูวินเทจและสง่างาม ส่วนโทนสีใช้แม่สีเป็นหลัก ความสนุกอยู่ที่การใช้สีตัดกันอย่างสิ้นเชิง อย่างดำกับเหลือง น้ำเงินกับแดง ทำให้เป็คอลเลคชั่นที่สนุกสนานและมีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น

เพราะไม่ใช่แค่ดี...แต่ต้องดีที่สุด คอลเลคชั่นจาก VICKTEERUT ครั้งนี้ จึงรังสรรค์ผลงานด้วยแนวคิด Passion für Perfektion ร่วมกับ Federbräu โดยมุ่งมั่นเป็นตัวแทนของคนที่มีพลังสร้างสรรค์ พร้อมมอบสิ่งที่ท้าทายให้ออกสู่สายตาวงการแฟชั่นระดับโลก

 


วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560

รายละเอียดคอลเลคชั่น 14 โชว์ 21 ดีไซเนอร์ “ELLE Fashion WeekFall/Winter 2017” @ CentralWorld

วันเสาร์ที่ 2 กันยายน 2560 

รอบ 17.00 น.

VATANIKA (วทานิกา)

วทานิกา ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา

VATANIKA ส่งคอลเลคชั่นFall/Winter 2017 มาให้ยลโฉม ภายใต้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องแดร็กคูล่า เวอร์ชั่นงานเขียนของ Bram Stoker ทั้งในส่วนของเสื้อผ้าและรูปแบบของโชว์ โดยเสื้อผ้าเป็น Ready to Wearที่มีความลักชัวรี่และสตรีทสไตล์ เน้นความโมเดิร์นมากกว่าที่ผ่านมา แต่คงความคลาสสิกและเซ็กซี่ในแบบของ VATANIKA ไว้อย่างครบถ้วน ที่ขาดไม่ได้ คือการนำเสนอลูกเล่นใหม่ของคอลเลคชั่นนี้ ที่ทางแบรนด์สื่อออกมาในรูปแบบการใช้วัสดุที่หลากหลายมากขึ้น

คอลเลคชั่นนี้ดึงความประณีตในการแต่งกายของสุภาพสตรียุคเก่ามาประยุกต์เข้ากับวัสดุที่มีความ
โมเดิร์นเช่น การเลือกใช้ผ้าไหมกำมะหยี่ชั้นสูงและลูกไม้สุดหรูอันเป็นตัวแทนของความคลาสสิกมาผสมผสานกับวัสดุทันสมัยอย่างผ้าเลื่อมผ้ายีนส์ผ้า Polyamide และอะไหล่สุดเท่ห์โดยนำเสนอผ่านความเป็น Ready to Wear ที่สนุกสนานโมเดิร์นและงดงามในแบบของผู้หญิงยุคใหม่

 

รอบ 19.00 น.

ASAVA (อาซาว่า) 

พลพัฒน์ อัศวะประภา 

Grace เป็นคอลเลคชั่น Fall/Winter 2017-2018 สะท้อนถึงความสง่างามที่ออกมาจากวิธีคิดและมุมมองในการใช้ชีวิตของหญิงสาวซึ่งสำหรับ ASAVA แล้ว Grace ไม่ได้หมายถึงความหรูหรา แต่เป็นวิธีคิด 
ถ้าผู้หญิงรู้จักตัวเองและมีเหตุผลในการเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะสวมใส่อะไร ก็ทำให้ชีวิตของตัวเองสง่างามได้ ซึ่งนั่นคือผู้หญิงตามแบบฉบับความสวยงามและปรัชญาความงามของ ASAVA

คอลเลคชั่นนี้ยังคงใช้เทคนิคการสร้างสรรค์ Cape Blouse ในลักษณะต่างๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของ ASAVA ผสมผสานไปกับการซ้อนทับเลเยอร์และเสื้อแขนกุดเพื่อสร้างมิติที่ดูแปลกตาออกไปรวมถึงการเพิ่มซิลลูเอทอย่างเดรสไลน์ทิวลิป(Tulip line), โครงเสื้อทรงตรง (Fit & Flare) และชุดอสมมาตร (Asymmetrical) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้หญิงที่พร้อมจะสะท้อนความงามจากภายในอย่างสมบูรณ์ผ่านเนื้อผ้า
มอสเครป (Moss Crepe) ที่เบาและนุ่มสบาย รวมถึงผ้าซาตินที่พลิ้วไหวและลูกไม้เพิ่มความอ่อนหวาน ภายใต้โทนสีที่คุ้นเคยอย่างสีขาว สีดำ สีเบจ สีเทา และเพิ่มมิติด้วยโทนสีที่ให้ความรู้สึกร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น เช่น 
สีงาช้าง (Ivory) สีน้ำเงินคราม (Zephyr Blue) สีแดงลิ๊ปสติก (Lipstick Red) และสีชมพูแกมม่วง(Mauve) 

 

 

รอบ 21.00 น.

HOOK’S (ฮุคส์) 

ประภากาศ อังศุสิงห์ 

HOOK’S ตั้งใจทำคอลเลคชั่น Aiyara Ten ขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ10 ปี
ของแบรนด์และอีกส่วนเพื่อเป็นการถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยได้
แรงบันดาลใจมาจากความเป็นไทยในหลายๆ ยุคสมัย โครงของเสื้อผ้าจึงมีความเป็นไทยตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน โดยนำสัญลักษณ์ช้างเผือกมาเป็นธีมหลัก ในโชว์จะเล่าเรื่องขนบธรรมเนียมความเป็นไทยตามแบบฉบับของ HOOK’S คือใส่ความเป็นสมัยใหม่และลูกเล่นต่างๆ ลงไปด้วย

โชว์ของ HOOK’S ทำขึ้นเพื่อเล่าเรื่องในหลวงในดวงใจ โดยสอดแทรกเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับ
ในหลวงรัชกาลที่ ตั้งแต่ประสูติจนสวรรคต ร้อยเป็นเรื่องราวผ่านเสื้อผ้าภายใต้สารที่อยากส่งต่อว่า คนเราทุกคนสามารถเป็นช้างเผือกคู่บารมีของพระองค์ท่านได้ เพียงแต่ตั้งใจทำอาชีพของเราให้ดีที่สุด เป็นคนดี ประพฤติดี ดูแลคนที่รัก เป็นพลเมืองที่ดี และเป็นลูกที่ดีของพ่อ

รายละเอียดคอลเลคชั่น 14 โชว์ 21 ดีไซเนอร์ “ELLE Fashion WeekFall/Winter 2017” @ CentralWorld

 

วันศุกร์ที่ กันยายน 2560 

รอบ 17.00 น.

• THAI DESIGNERS BEYOND BOUNDARIES By Department of International Trade Promotion 

CHAT (ฉัตร

ฉัตรมณี แต้สุนทรไพเราะ

แบรนด์เครื่องประดับที่นำเอาความสวยงามของธรรมชาติ และ ดอกไม้นานาพันธุ์ มาเล่าเรื่องผ่านลายเส้นอันพลิ้วไหวผสมผสานกับหินธรรมชาติที่มีความหมายมงคล ผ่านการเจียระไนรูปทรงพิเศษในแต่ละคอลเลคชั่น ที่มีความโดดเด่น และ แตกต่าง เสมือนงานศิลปะที่สามารถสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน

สำหรับคอลเลคชั่น OPIUM นี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก โครงการหลวงเพื่อชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น” 
ด้วยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ที่ทรงส่งเสริมให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รักษาป่า และ เลิกปลูกฝิ่นในคอลเลคชั่นนี้จึงนำเรื่องราวของดอกฝิ่นที่มีความสวยงามลึกลับ น่าหลงไหล แต่แฝงไปด้วยพิษร้าย มาสื่อผ่านโครงสร้าง ลายเส้นโค้งมน เล่นระดับตามธรรมชาติของดอกฝิ่น ผสมผสานกลิ่นไอเครื่องประดับของชาวเขา พร้อมยังประดับด้วยหินธรรมชาติไพไรท์เจียระไรพิเศษ พร้อมความเชื่อว่าแร่ไพไรท์นำมาซึ่งความสำเร็จ โดยเทคนิคการขึ้นชิ้นงานที่เป็นงาน Handcraft ผ่านการดัด เคาะ โชว์เทคนิคความชำนาญ ทำให้ชิ้นงานดูมีความพลิ้วไหว ดูเป็นธรรมชาติ 

 

JITTRAKARN (จิตรกานต์)

จิตรกานต์บรรเทิงไพบูลย์

ยังดีไซเนอร์และเจ้าของธุรกิจเครื่องประดับมีสไตล์มาพร้อมคอลเลคชั่นSTELLAR ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์แนวไซ-ไฟซึ่งเล่าเรื่องราวเหนือจินตนาการถึงการผจญภัยไปสู่จักรวาลที่อยู่ไกลออกไป การเดินทางด้วยจักรกลล้ำสมัย และการค้นพบวัฒนธรรมต่างดวงดาวที่แปลกตา นำมาสู่การออกแบบคอลเลคชั่นที่นำพาผู้สวมใส่สู่โลกใหม่ที่ปราศจากข้อจำกัด การใช้เทคโนโลยีและวัสดุใหม่ในการผลิตชิ้นงานที่ที่ความซับซ้อน แข็งแรง และแปลกใหม่ ท้าทาย 

 

LA ORR  (ละออ) 

สุพัจนา ลิ่มวงศ์

หากจินตนาการถึงการหลงเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยราชินีแห่งป่าอย่างกล้วยไม้ ผู้หญิงที่หลงใหลในความงามของธรรมชาติคงยากที่จะห้ามใจในการหยิบดอกไม้เหล่านี้มาชื่นชม และตกแต่งร่างกายให้สวยงามอย่างที่ฝัน คอลเลคชั่นนี้ดึงเอาความงามเฉพาะตัวของกล้วยไม้ทั้งสีสันและโครงสร้างอันโดดเด่นมาสู่เครื่องประดับ โดย La Orr เน้นย้ำการใช้เสน่ห์ของผ้าไหมไทยออกมาในรูปแบบเครื่องประดับที่ร่วมสมัยผ่านความน่าหลงใหลของกล้วยไม้และใช้ชื่อคอลเลคชั่นว่า Orchid Traps collection

 

NAVY (นาวี) 

สุนิสา ศรีปริวาทิน

ภาพถ่ายทิวทัศน์ (Landscape) ในสถานที่ต่างๆจุดประกายความทรงจำให้ดีไซเนอร์ไฟแรงหวนคำนึง ถึงช่วงเวลานั้นๆ ในอดีต เจ้าตัวจึงหยิบยกและตีความออกมาตามแนวทางของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นสาย จังหวะของพื้นที่ layer และยังจินตนาการไปถึงฝีแปรงในภาพวาดของภาพทิวทัศน์นั้นๆในภาพถ่ายยังผสมผสานtradition ของส่วนประกอบทั้งหลาย ความเป็น workwearหรือการสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อการดำรงชีวิต การผูก มัด คลุม ซึ่งเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ สามารถทำได้เอง twist กับความเป็นเมืองในความเป็นจริงที่ต้องกลับมาใช้ชีวิต การสวมใส่เสื้ออาจไม่ใช่เพื่อการดำรงชีวิตเพียงอย่างเดียว  แต่ยังแสดงออกถึงตัวตน  รสนิยม  และ สิ่งต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบบุคคลนั้น คอลเลคชั่นTha Land Over the City จึงหยิบยกรายละเอียดต่างๆ มาไว้ในโครงสร้างของเสื้อผ้าที่แสดงออกถึงความเป็นเมืองในรูปแบบแบรนด์Navy

 

PAUL DIREK (พอล ดิเรก)

กรุงเทพ ดิเรกมหามงคล

ผู้คนในสังคมเมืองปัจจุบันต้องเผชิญกับสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันและมลพิษอย่างยากที่จะปฏิเสธและนั่นกลับทให้ผู้คนในเมืองโหยหาความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นคอลเลคชั่นของ PualDirek จึงได้รับอิทธิพลโดยตรงจากการใช้ชีวิตของคนในเมืองโดยใช้สีดำสื่อแทนพลังในการเปลี่ยนแปลงและสะท้อนการตื่นตัวในการทลายสิ่งแวดล้อมของคนในสังคมผนวกกับการเลือกใช้วัสดุที่สื่อถึงธรรมชาติโดยตรง อาทิเช่นฝ้ายและใยกัญชสร้างสรรค์ออกมาเป็นคอลเลคชั่น Black to Nature เพื่อความสมดุลของโลกและสิ่งแวดล้อม 

 

Q DESIGN AND PLAY (คิว ดีไซน์ แอนด์เพลย์) 

ประพัฒน์ สมบูรณ์สิทธิ์

คอลเลคชั่น“SUPERFINE”ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานตัดสูทแบบ TAILOR-MADE  โดยดึงเสน่ห์ของผ้าสูทและการตัดเย็บ การตัดต่อผ้าและพลิกตะเข็บโชว์ดีเทลของผ้าวูล และการนำเสื้อยืดวินเทจมาทำเป็นซับใน การหยิบใช้เนคไทวินเทจมาเป็นส่วนประกอบของเสื้อผ้าให้ดูร่วมสมัย และหยิบสัญลักษณ์ต่างๆของงาน TAILOR-MADE มาดัดแปลง ผสานกับความเป็น Q DESIGN AND PLAY โดยใช้สีที่ดูสุขุมในแบบสุภาพบุรุษแต่ก็ยังไม่ทิ้งความสนุกสนานในแบบ Q DESIGN AND PLAYทำให้เสื้อผ้ามีความสนุก ทะมัดทะแมง แตกต่าง นำโครงเสื้อสูทโอเวอไซส์แบบยุค80  มาปรับใช้ให้เข้ากับปัจจุบันร่วมสมัย และยังทำให้เสื้อผ้าสามารถสวมใส่ได้ในหลายโอกาส เทคนิคที่ใช้ในคอลเล็คชั่นนี้คือการสกรีนลาย พิมพ์ลาย และการตัดต่อผ้า สีหลักที่ใช้ได้แก่ ขาว ดำ และกรมท่า

รอบ 19.00 น.

VATIT ITTHI (วทิต อิทธิ) 

วทิต วิรัชพันธุ์ และอิทธิ เมทะนี

VATIT ITTHI กลับมาอีกครั้งหลังหยุดพักการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ไปหนึ่งปี คอลเลคชั่นนี้ได้รับ
แรงบันดาลใจมาจาก Peggy Guggenheim นักสะสมงานศิลปะในช่วงยุค 50 ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มีรสนิยม และสายตาที่เฉียบคมในการคัดเลือกชิ้นงาน โดยทุกชุดยังคงเน้นที่งานแฮนด์เมดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เช่นเดิมเป็นการนำเสนองานฝีมือที่มาในรูปแบบ Ready to Wearตามสไตล์ที่ทั้งสองดีไซเนอร์ถนัด ภายใต้คำจำกัดความ Simple, Clean, Elegance คือเรียบนิ่งแต่มีรายละเอียดและงานตัดเย็บที่ประณีต 

รอบ 21.00 น.

KLOSET (คลอเซ็ท) 

มลลิกา เรืองกฤตยา

โชว์ของ KLOSET เป็นคอลเลคชั่นAutumn/Winter 2017 ภายใต้ชื่อคอลเลคชั่นว่า Wakeup and Rise มีแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์จีนIn The Mood For Love ของผู้กำกับหว่องกาไว ซึ่งมีโทนสีและแสงที่สวยงาม เต็มไปด้วยกลิ่นอายวินเทจอย่างสีเหลืองมัสตาร์ด สีแดงมารูนและเขียวหยก ดีไซเนอร์จึงนำแรงบันดาลใจนี้มาอยู่ในโครงสร้างและลวดลายหลักของคอลเลคชั่นรวมถึงความเป็น Oriental ที่สะท้อนผ่าน
วอลเปเปอร์ ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ หรือสไตล์เสื้อผ้าที่นางเอกสวมใส่ด้วย

การดำเนินชีวิตประจำวันที่จำเจของตัวเอกในภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ดีไซเนอร์อยากสื่อสารให้ผู้หญิงทุกคนฉีกกรอบเดิมๆ ตื่นและลุกขึ้นมาพบกับสิ่งใหม่ๆ ลวดลายที่นำมาใช้จึงมีทั้งนกและผีเสื้อ ซึ่งสะท้อนภาพว่าผู้หญิงควรจะมีอิสระและอย่าติดอยู่ในวงเวียนเดิมๆ โดยไฮไลท์นอกจากจะเป็นลายพิมพ์ที่สวยงามแล้ว ยังมีดีเทลงานปักที่ละเอียดลออ นับเป็นคอลเลคชั่นที่เจ้าของแบรนด์และดีไซเนอร์อย่างคุณแก้ม-มลลิกา ชอบมากที่สุดตั้งแต่ทำแบรนด์มา